ท่อพีวีซี ท่อเพื่อสุขภาพอนามัย ความปลอดภัยและสภาพแวดล้อม
พีวีซีเป็นพลาสติกที่ใช้กับท่อน้ำและท่อน้ำเสียทั่วโลกเนื่องจากความคุ้มค่าในด้านเศรษฐกิจและเป็นวัสดุที่มีความปลอดภัยต่อสุขภาพอนามัยและสิ่งแวดล้อมตลอดอายุการใช้งาน พีวีซีมีมาตราฐานควบคุมโดย The American Society for Testing and Materials (ASTM) ตั้งแต่ปี ค.ศ.1940 ท่อพีวีซีจึงเป็นท่อที่มีมาตรฐานและใช้ในงานต่างๆมานานกว่า 80 ปี ท่อพีวีซีได้รับการทดสอบจากทั้งหน่วยงานรัฐฯและสถาบันเอกชนในสหรัฐฯได้แก่ The U.S. Food and Drug Administration, Consumer Product Safety Commission, and similar organizations have confirmed that PVC is safe. ผลการทดสอบท่อพีวีซีได้ผ่านกฎเกณฑ์ข้อกำหนดสำหรับความปลอดภัยต่อสุขภาพอนามัยเพื่อใช้กับน้ำดื่มซึ่งกำหนดโดย the U.S. Safe Drinking Water Act, Guidelines for Canadian Drinking Water Quality, และมาตรฐานอื่นๆ จึงพิสูจน์ได้ว่าท่อพีวีซีเป็นท่อที่มีความปลอดภัยต่อสุขภาพอนามัยและสิ่งแวดล้อม
สำหรับประเทศไทยนั้น ท่อพีวีซีมีมาตรฐานสำหรับควบคุมผลิตภัณฑ์ท่อและอุปกรณ์ระบบท่อที่กำหนดโดยสำนักงานมารตรฐานแห่งประเทศไทย เป็นท่อพลาสติกประเภทแรกที่ใช้ทดแทนท่อเหล็กในงานท่อน้ำดื่มน้ำใช้และทดแทนท่อเหล็กหล่อในงานระบบบำบัดน้ำเสียและในงานอาคาร ถึงแม้จะมีท่อพลาสติกใหม่ๆพัฒนาทยอยผลิตมาใช้เป็นทางเลือกแต่สำหรับงานที่มีสภาพการใช้งานที่สามารถใช้ท่อพีวีซีได้ ก็ควรเลือกใช้ท่อพีวีซีเนื่องจากความคุ้มค่าทางด้านการเงิน สุขภาพอนามัย ความปลอดภัยและสภาพแวดล้อม
ความปลอดภัยสูงสุด
ท่อพีวีซีผลิตขึ้นตามมาตรฐานอุตสาหกรรมซึ่งควบคุมทั้งคุณภาพของวัสดุ ลักษณะทางกายภาพของท่อและอุปกรณ์ท่อสำหรับการติดตั้งทำให้การใช้งานมีความปลอดภัยตลอดอายุการใช้งาน ส่วนผสมของท่อพีวีซีเป็นวัสดุตามมาตรฐานซึ่งอนุมัติให้ใช้สำหรับระบบท่อน้ำดื่มได้ น้ำหนักท่อน้อยกว่าท่อประเภทอื่นๆทำให้การขนส่งและการติดตั้งทำได้ง่ายและปลอดภัยในขณะติดตั้ง ท่อพีวีซีไม่ผุไม่รั่วผ่านท่อและมีความยืดหยุ่นไม่แตกง่ายทำให้มีความเชื่อมั่นว่าจะไม่เกิดความเสียหายก่อนอายุการใช้งาน
ความดันระบุของท่อพีวีซีคือค่าความดันสูงสุดต่อเนื่องที่อุณหภูมิ 23 C จนกระทั่งท่อพีวีซีเกิดความเสียหายในระยะเวลาการรับความดัน 50ปี หารด้วยสอง (Safety factor 2) เมื่อใช้ท่อพีวีซีกับงานที่มีความดันใช้งานไม่เกินความดันระบุของท่อพีวีซีคูณด้วยตัวประกอบอุณหภูมิที่ใช้งานจะทำให้ท่อมีอายุการใช้งานมากกว่า 100 ปี
สุขอนามัยเมื่อใช้ท่อพีวีซี
ส่วนผสมของวัตถุดิบที่ใช้ผลิตท่อพีวีซีเป็นสิ่งที่เปิดเผยและยอมรับทั่วไปในด้านความปลอดภัยสำหรับใช้กับระบบท่อน้ำดื่ม ข้อมูลของส่วนผสมของวัสดุท่อพีวีซีเปิดเผยและผ่านการทดสอบรับรองโดยหน่วยงานอิสระซึ่งทำการทดสอบตามมาตรฐาน NSF/ANSI/CAN 61 และ NSF/ANSI 14. วัสดุและสารเคมีทีเป็นอันตรายต่อสุขภาพมีดังต่อไปนี้
โลหะเป็นพิษ ท่อพีวีซีไม่มีส่วนผสมที่เป็นโลหะจึงไม่ปล่อยโลหะเป็นพิษ เช่น ตะกั่ว สารหนู แบเรี่ยม ปรอท โครเมียม แคดเมียม ทองแดง หรือโลหะอื่นๆ ซึ่งท่อส่งน้ำเช่นท่อเหล็กหล่อเคลือบภายในด้วยซีเมนมอร์ต้าจะสามารถพบแบเลี่ยม แคดเมียม โครเมียม และอลูมิเนียม ท่อพีวีซีใช้สารประกอบดีบุกเป็นสารปรุงแต่งเพื่อช่วยการคงสภาพที่ไม่มีผลต่อสุขภาพและมีปริมาณเพียงเล็กน้อย และผ่านทดสอบความปลอดภัยของท่อพีวีซีตามมาตรฐานของท่อน้ำดื่มซึ่งควบคุมโดย NSF และหน่วยงานอื่นๆ
ไวนิลคลอไรด์ (vinyl chloride) ท่อพีวีซีไม่ปลดปล่อยไวนิลคลอไรด์ (vinyl chloride) เนื่องจากในเรซินที่ใช้ผลิตท่อได้กำจัด vinyl chloride monomer (VCM) จนไม่สามารถตรวจวัดได้ (มอก17- 2561 ระบุไม่เกิน 1 mg/kg)
ไมโครพลาสติก พบได้จากยาง เสื้อผ้า และผลิตภัณฑ์ภายนอก เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ท่อพีวีซีมีผิวผนังภายในเรียบไม่มีรูและไม่กร่อนตามอายุการใช้งานจึงไม่ทำให้เกิดไมโครพลาสติกในน้ำ
Phthalates หรือ bisphenol-A กระบวนการผลิตท่อพีวีซีไม่ใช้สารดังกล่าว การใช้ท่อพีวีซีส่งท่อน้ำดื่มหรือน้ำเสียจึงไม่มีสารดังกล่าวในน้ำและสิ่งแวดล้อมภายนอกท่อ
Dioxin emissions การผลิตท่อพีวีซีไม่ทำให้เกิด dioxins แต่เมื่อใช้อาจมี dioxins เกิดขึ้นได้เป็นปริมาณน้อยมากเมื่อเทียบกับการใช้ท่อเหล็กและทิ่คอนกรีต ข้อมูลจาก EPA แสดงว่าการผลิตท่อเหล็กหล่อทำให้เกิด dioxins มากกว่าการทำเรซิ่นพีวีซีถึง 6 เท่า และยังทำให้เกิดโลหะเป็นพิษต่างๆและสารอินทรีย์เคมีได้แก่ เบนซีน ไซรีน ฟีนอล เมทานอล ไทรเอธิลามีน และแอมโมเนีย
เบนซีน ไม่มีในท่อพีวีซี เบนซีนเกิดเมื่อไฟไหม้ต้นไม้และอาคารเหนือดิน เมื่อเกิดไฟไหม้จึงไม่เกิดผลกระทบกับท่อน้ำพีวีซีฝังดินเพราะดินด้านบนจะเป็นฉนวนป้องกันอุณหภูมิเนื่องจากไฟ จึงไม่มีเบนซีน และไม่ปลดปล่อยสารแปลกปลอมอื่นๆให้กับน้ำในท่อพีวีซี ในอาคารเมื่อเกิดไฟไหม้จะทำให้ท่อพีวีซีละลายปล่อยน้ำออกมาช่วยลดอุณหภูมิและช่วยในการดับไฟ
Dibutyltin dichloride (DBTDC) เป็น Organotin สารเคมีเพียงชนิดเดียวที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพโดยรบกวนการทำงานของต่อมไร้ท่อ แต่ในท่อพีวีซีไม่ใช้สารเคมีนี้ แต่ใช้ Organotin (tin) stabilizers ซึ่งได้ทดสอบแล้วไม่มีอันตรายและสามารถใช้สำหรับน้ำดื่มได้อย่างปลอดภัย
Perfluoroalkyl และ polyfluoroalkyl substances (PFAS) เป็นสารสังเคราะห์ที่มีฟลูโอรีนมเป็นส่วนประกอบและใช้ในผลิตภัณฑ์หลายชนิด สามารถสะสมในร่างกายเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ แต่การผลิตท่อพีวีซีไม่ได้ใช้สารสังเคราะห์นี้ จึงไม่พบ PFAS ในทั้งท่อพีวีซี ปะเก็น และอุปกรณ์
การกัดกร่อน ท่อพีวีซีไม่ผุกร่อนจึงเหมาะสำหรับใช้กับน้ำดื่ม ซึ่งท่อเหล็กจะผุกร่อนและเกิดผลพลอยได้ตามรูปที่ 1. ซึ่งมีผลกระทบกับคุณภาพน้ำ ทำให้สารฆ่าเชื้อเช่นคลอรีนเสื่อมสภาพ ทำให้แบคทีเรียเจริญเติบโตและเกิดชีวฟิลม์ (Biofilm) ซึ่งพบว่าการระบาดของเชื้อ E. coli และ Legionnaires’ disease ในอเมริกาเหนือมีสาเหตุสืบเนื่องจากการผุกร่อนและเชื้อในท่อ
รูปที่ 1. การผุกร่อนของท่อเหล็กเกิดตะกรัน สนิม ชีวฟิลม์ แต่ท่อพีวีซีไม่มีการผุกร่อน

หน่วยงานอิสระในอเมริกาเหนือยืนยันผลการทดสอบน้ำที่ผ่านระบบท่อพีวีซีว่ามีคุณภาพผ่านหรือดีกว่าเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพน้ำดื่มของอเมริกาเหนือ ซี่งมาตรฐาน NSF/ANSI/CAN 61 และ NSF/ANSI/CAN 600 กำหนดการทดสอบท่อน้ำดื่มในเรื่องความปลอดภัยซึ่งแบ่งขั้นตอนออกเป็นการทดสอบปกติ การประเมินความเป็นพิษจากผลการทดสอบ และการตรวจสอบแบบสุ่มโดยไม่แจ้งให้ผู้ผลิตทราบ หน่วยงานอิสระและหน่วยงานรัฐอื่นๆ ได้แก่ Underwriters Laboratory (UL), the Canadian Standards Association (CSA) และ EPA ก็ได้ทดสอบท่อพีวีซีเพื่อให้แน่ใจว่าน้ำที่ส่งผ่านท่อพีวีซีมีความปลอดภัยสำหรับการบริโภค
หน่วยงานที่รับผิดชอบระบบน้ำดีน้ำเสีย 50,000 แห่งในอเมริกาเหนือใช้ท่อพีวีซีในระบบท่อ เป็นความยาวท่อทั้งสิ้น 4.02 ล้านกิโลเมตร และได้ตรวจสอบคุณภาพน้ำดื่มจากระบบท่อน้ำดื่มมากกว่า10ล้านครั้งทำให้เชื่อมั่นเรื่องคุณภาพน้ำดื่มจากระบบท่อพีวีซีได้
Occupational health and safety ยกให้ท่อพีวีซีเป็นท่อชั้นนำที่ควรใช้เนื่องจากมีน้ำหนักเบามีอายุการใช้งานยาวนาน มีการแตกรั่วน้อย ติดตั้งและดูแลรักษาง่ายกว่าท่อประเภทอื่นๆ เรื่องความปลอดภัยของคนงาน the U.S. Bureau of Labor รายงานข้อมูลการบาดเจ็บและปัญหาเรื่องสุขภาพจากการทำงานของคนงานโดยสรุปว่าการทำงานกับระบบท่อพลาสติกในทุกขั้นตอนตั้งแต่การผลิต ติดตั้ง ขนส่ง และอื่นๆ มีความปลอดภัยมากกว่าระบบท่อเหล็กและคอนกรีต
สำหรับประเทศไทย ท่อพีวีซีผลิตและทดสอบตามมาตรฐานอุตสาหกรรมและควบคุมโดยสำนักงานมารตรฐานแห่งประเทศไทย ซึ่งทดสอบความปลอดภัยจากสารตะกั่ว และสารอื่นที่มีผลต่อสุขภาพอนามัยจากน้ำในท่อตามวิธีการมาตรฐานที่ระบุไว้ ได้แก่ ปรอท ตะกั่ว สารหนู ซิลิเนียม โครเมียม ไซยาไนด์ แคดเมียม แบเรียม และปริมาณสารที่ละลายทั้งหมด
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
การก่อสร้างโครงการต่างๆย่อมทำให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างหลีกเลี่บงไม่ได้ แต่การเลือกใช้ท่อพีวีซีจะทำให้มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด มีปริมาณก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดที่ถูกปล่อยออกมาจากการใช้ท่อพีวีซี(carbon footprint)น้อยที่สุด มีTotal embodied energy (TEE)น้อยที่สุด และมีอายุการใช้งาน (life cycle)ยาวนานกว่า 100ปี ทำให้โครงการที่ใช้ท่อพีวีซีมีความยั่งยืนกว่าเมื่อเทียบกับท่อประเภทอื่นๆ ซึ่งจะอธิบายผลดีของการใช้ท่อพีวีซีที่มีต่อสภาพแวดล้อมต่อไป
ปริมาณก๊าซเรือนกระจก การใช้ท่อพีวีซีเป็นการช่วยลดปัญหาการเกิดก๊าซเรือนกระจกGreenhouse gas (GHG) เนื่องจากท่อพีวีซีปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดอายุการใช้งานน้อยกว่าท่ออื่นๆ McKinsey reports ระบุว่าท่อพีวีซีปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่าท่อท่อเหล็กหล่อเหนียว 35% น้อยกว่าท่อคอนกรีตเสริมแรง 45%
ก๊าซเรือนกระจกมีหลายชนิด โดยหลักคือคาร์บอนไดออกไซด์เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงเพื่อให้ได้พลังงานใช้ในทุกขั้นตอนตลอดอายุการใช้งานซึ่งเรียกว่า Total embodied energy (TEE) ท่อพีวีซีมีค่าTEEน้อยที่สุด ท่อพีวีซีจึงปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับท่อประเภทอื่นๆ
Total embodied energy (TEE) คือปริมาณพลังงานที่ใช้กับผลิตภัณฑ์ทั้งหมดตลอดอายุการใช้งานได้แก่พลังงานที่ใช้ในการเตรียมวัตถุดิบ การผลิต การขนส่ง การติดตั้งการซ่อมแชมบำรุงรักษา และสุดท้ายคือการคืนสภาพเมื่หมดอายุการใช้งาน ท่อพีวีซีมีค่า TEE น้อยที่สุด สำหรับท่อส่งน้ำท่อคอนกรีตใช้พลังงานในการผลิต 4 เท่าของท่อพีวีซี และท่อเหล็กใช้พลังงาน 2 เท่า สำหับท่อขนาด
เรซิ่นพีวีซีเป็นผลิตภัณฑ์จากปิโตรเลียมที่ใช้พลังงานในการผลิตน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับวัสดุอื่นๆ ทั้งโลหะซึ่งได้แก่เหล็ก อโลหะได้แก่คอนกรีตและพลาสติกประเภทอื่นๆ จากตารางที่ 1.พีวีซีใช้พลังงานในการผลิตน้อยกว่าพลาสติกอื่นๆทุกประเภท ใช้วัตถุดิบ(ปิโตรเลียม)น้อยที่สุด และค่าความร้อนของพีวีซีน้อยกว่าพลาสติกอื่นๆเมื่อเผาไหม้ให้ความร้อนน้อยที่สุดจึงมีความปลอดภัยมากที่สุด
ตารางที่ 1. การใช้พลังงานและวัตถุดิบในการผลิตเรซิ่นพลาสติกประเภทต่างๆ (based on [Engelbeen]: เอกสาร 2.)

เมื่อนำพลาสติกมาผลิตท่อโดยใช้กระบวนการรีด(Extrusion)และผลิตข้อต่อท่อด้วยกระบวนการฉีด(Injection) กระบวนการทั้งสองใช้พลังงานเฉลี่ยไม่มากตามแผนภูมิที่ 1. ซึ่งค่าความร้อนของพีวีซีน้อยกว่าพลาสติกอื่นๆกระบวนการผลิตท่อและข้อต่อพีวีซีจึงใช้พลังงานน้อยกว่าพลาสติกอื่นๆ
แผนภูมิที่ 1. การใช้ไฟฟ้าโดยเฉลี่ยของผลผลิตพลาสติกแยกตามวิธีการผลิต

ตารางที่ 2. การใช้พลังงานในการผลิตโลหะจากข้อมูล IEA [Iron and Steel, IEA 2021]

การใช้พลังงานผลิตโลหะจากสินแร่จากตารางที่ 2.น้อยกว่าพลังงานสำหรับการผลิตเรซิ่นพลาสติกจากตารางมี่ 1. แต่ท่อเหล็กมีน้ำหนักมากกว่าท่อพีวีซีมากและเมื่อนำมาผลิตท่อจะต้องใช้พลังงานมากกว่าพลาสติกมากเนื่องจากต้องให้อุณหภูมิสูงเพื่อการหลอมละลายโลหะ การใช้พลังงานโดยเฉลี่ยสำหรับการผลิตซีเมนต์ 1 ตันใช้ความร้อน 3.4GJ และไฟฟ้า 110 kWh (รวมใช้พลังงาน 3.8MJ/kg) ซึ่งเมื่อนำมาผลิตท่อสำหรับการระบายน้ำจะต้องมีการใช้เหล็กเส้นเพื่อเสริมแรงให้รับแรงกดเมื่อฝังดินได้ดีขึ้นและมีน้ำหนักมากทำให้ต้องใช้พลังงานในการขนย้ายและติดตั้งมากขึ้น
การขนส่งท่อพีวีซีใช้พลังงานและค่าใช้จ่ายน้อยกว่าท่ออื่นๆเนื่องจากมีน้ำหนักเบาและสามารถสอดท่อได้ง่ายเพื่อลดปริมาตรสำหรับการขนส่ง การติดตั้งท่อพีวีซีใช้ข้อต่อแบบแหวนยางหรือน้ำยาประสานและมีน้ำหนักเบาทำให้การใช้พลังงานและค่าใช้จ่ายในการติดตั้งน้อยกว่าท่อเหล็กซึ่งมีน้ำหนักมากใช้พลังงานมากกว่าในการขนส่งและการติดตั้งด้วยการเชื่อม การติดตั้งท่อส่งน้ำฝังดินแบบเปิด(cradle-through-installation) ใช้พลังงานเทียบเป็นคาร์บอนที่ปลดปล่อยของท่อเหล็กหล่อขนาด 0.20 ม. เป็น 6-9 เท่าของท่อพีวีซี ผิวในท่อพีวีซีเรียบและไม่ผุกร่อนตลอดอายุการใช้งานการส่งน้ำผ่านระบบท่อพีวีซีจึงมีความดันตกจากการไหลน้อยตลอดการใช้งานทำให้การใช้พลังงานเพื่อส่งน้ำน้อยกว่าท่อเหล็ก
จะเห็นว่าTEEของท่อพีวีซีมีค่าน้อยที่สุดเนื่องจากพลังงานที่ใช้ในทุกขั้นตอนมีค่าน้อยตามที่อธิบายไว้ข้างต้นจึงทำให้การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยที่สุดและมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด นอกจากนี้การผลิตท่อพีวีซีใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นหลักดังนั้นจึงสามารถติดตั้งเซลแสงอาทิตย์เพื่อใช้พลังงานไฟฟ้าทางเลือกจากพลังงานลม แสงอาทิตย์ และพลังงานทางเลือกอื่นๆ ทำให้สามารถลดการเกิดคาร์บอนฟุตปริ้นท์ได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งท่อเหล็กและคอนกรีตต้องใช้เชื้อเพลิงธรรมชาติได้แก่ถ่านหิน และน้ำมันในการผลิตทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซท์เป็นปริมาณมาก
เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) หมายถึง ระบบอุตสาหกรรมที่วางแผนและออกแบบมาเพื่อคืนสภาพหรือให้ชีวิตใหม่แก่วัสดุต่าง ๆ ในวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ แทนที่จะทิ้งไปเป็นขยะเมื่อสิ้นสุดอายุการใช้งาน ระบบท่อพีวีซีสามารถใช้งานตามหลักการของเศรษฐกิจหมุนเวียนได้เมื่อวางแผนตั้งแต่การออกแบบ ติดตั้ง การใช้งาน และแผนการนำกลับมาใช้
ท่อพีวีซีไม่ผุกร่อนจึงไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพื่อป้องกันการผุกร่อนของท่อเหล็กในซึ่งต้องทำทั้งภายในและภายนอกเมื่ออยู่ในสภาวะแวดล้อมที่ก่อให้เกิดการผุกร่อนเช่นฝังดิน จากการศีกษาของ AWWA Water Research Foundation study พบว่าท่อเหล็กหล่อเมื่อฝังดินจะมีการผุกร่อนทำให้มีอายุการใช้งานเพียง 11-14 ปี เมื่อมีการผุกร่อนจากด้านในเนื่องจากน้ำจะทำให้ผิวด้านในขรุขระทำให้อายุการใช้งานสั้นลงอีกและทำให้การส่งน้ำต้องใช้พลังงานมากขึ้น เพื่อลดปัญหาการผุกร่อนในท่อเหล็กจะต้องใช้สารเคมีท่ไม่มีผลต่อสุขภาพอนามัยเติมในน้ำดื่มซึ่งถ้าหลุดสู่แหล่งน้ำอาจทำให้เกิดปัญหาสาหร่ายบลูม(algae blooms) การป้องกันการผุกร่อนภายนอกท่อเหล็กฝังดินมีหลายวิธีเช่นการใช้เทปพันท่อ การใช้โลหะกันกร่อน(Sacrificial Anode) และการใช้ประจุไฟฟ้า(Stray current)หรือคาโทดิกโปรเทกขั่น(Cathodic protection)
ผลิตภัณฑ์ท่อพีวีซีที่บกพร่องสามารถนำกลับมาบดและใช้เป็นส่วนผสมของวัตถุดิบเพื่อใช้ในการผลิตได้ตามอัตราส่วนที่มาตราฐานยอมรับโดยไม่มีผลต่อความแข็งแรงของท่อ เนื่องจากเรซิ่นพีวีซีที่มีความยั่งยืน นอกจากนี้ท่อพีวีซีทีเหลือใช้หรือใช้แล้วยังสามารถนำมาใช้ทำผลิตภัณฑอื่นได้ ไม่มีของเสีย ไม่ต้องฝังกลบไม่ทำให้เกิดปัญหากระทบน้ำใต้ดิน(landfill leachate) หรือก๊าซเสีย กระบวนการผลิตท่อพีวีซีจึงเป็นกระบวนการผลิตหนึ่งในกระบวนการผลิตไม่มากที่ไม่มีของเสีย (zero waste)
สำหรับโครงการท่อส่งน้ำ การใช้ท่อพีวีซีช่วยให้โครงการมีความยั่งยืน เนื่องจากต้นทุนของระบบท่อและค่าติดตั้งลดลง ทำให้งบประมาณของโครงการลดลง ลดค่าพลังงานที่ใช้ส่งน้ำผ่านระบบท่อ ค่าซ่อมแซมบำรุงรักษา ลดการรั่วไหลและการสูญเสียน้ำ การใช้ท่อพีวีซีจึงช่วยลดค่าใช้จ่ายของโครงการและลดปัญหาสิ่งแวดล้อม
ในอเมริกาเหนือ ท่อพีวีซีได้รับการตรวจสอบ Life cycle assessment (LCA) โดยบุคคลที่สามตามแนวทางของ ISO 14025:2006 - Environmental labels and declarations และ ISO 14040:2006 - Environmental management มาตรฐานแนวทางปฏิบัติสำหรับรับรองเรื่องสภาพแวดล้อมอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นที่ยอมรับของสินค้าอุตสาหกรรมและสามารถศึกษาได้จาก Environmental product declaration (EPD)
ส่งท้าย
ท่อพีวีซีเป็นท่อพลาสติกชนิดแรกๆที่ผลิตขึ้นเพื่อนำมาใช้ทดแทนท่อโลหะจึงมีข้อดีทั้งด้านเศรษฐศาสตร์และสิ่งแวดล้อม ท่อพลาสติกประเภทอื่นๆที่ผลิตขึ้นภายหลังมีผลกระทบสิ่งแวดล้อมมากกว่า ในกรณีที่สภาวะแวดล้อมและสภาพการทำงานสามารถใช้ทั้งท่อพีวีซีและท่อพลาสติกอื่นๆได้ ควรเลือกใช้ท่อพีวีซีเนื่องจากให้ต้นทุนที่ถูกกว่าและกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่า
เรียบเรียงจาก
1. Uni-Bell, “THE HEALTH, SAFETY, AND ENVIRONMENTAL PERFORMANCE OF PVC PIPE”, PVC Pipe Association.
Halina Marczak, “Energy Inputs on the Production of Plastic Products”, Journal of Ecological Engineering 2022, 23(9), 146–156, https://doi.org/10.12911/22998993/151815
Comments